แชร์

Bad Valentine เมื่อความรักกลายเป็นพิษ กับคุณยุ้ย สุธิดา ราชรัตนารักษ์

อัพเดทล่าสุด: 6 มี.ค. 2025
21 ผู้เข้าชม

จากการให้คำปรึกษาและความช่วยเหลือของมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เราพบว่าความรุนแรงในครอบครัว ไม่ได้ก่อตัวขึ้นทันที หรือภายในระยะเวลาไม่กี่ปี แต่อาจมีสัญญาณให้เราได้พบเห็นอยู่บ้าง หลายคู่เกิดปัญหาเมื่อใช้ชีวิตด้วยกันในระยะเวลาที่ยาวนานแล้ว จนไม่ทันคิดว่าการใช้ชีวิตด้วยกันมานานขนาดนี้ จะเกิดความรุนแรงในครอบครัวขึ้นได้ เช่นเดียวกับคุณยุ้ย สุธิดา ราชรัตนารักษ์ อาสาสมัครมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล

ความรักที่เหมือนจะสมบูรณ์แบบ
พูดถึงทีไร มันมีความสุข หมายถึงตอนนั้นนะ (หัวเราะ) คบกัน 15 ปี แต่งงาน 14 ปี เราไปเจอกันที่อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ช่วงนั้นเป็นช่วงใกล้ ๆ ปีใหม่ ใกล้ปีใหม่จะอากาศหนาว ยุ้ยขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปกับกลุ่มเพื่อนเ 7-8 คน ขึ้นไปหาประสบการณ์ชีวิตในช่วงนั้นวัยสาวเนอะ ตอนนั้นก็ไปแข่งรถแล้วเจอเขา เขาเป็นต่างชาติคนเดียวที่อยู่ท่ามกลางหุบเขาพร้อมกับความซกมกในร่างกาย (หัวเราะ) ไม่ได้เพอร์เฟคสมบูรณ์แบบ เราไม่ได้เจอเขาในร้านเหล้าผับบาร์ มันอาจจะอีกสถานการณ์นึงด้วย มองกันไปกันมา คุยกันเรื่องรถมอเตอร์ไซค์ เขาเป็นผู้ชายที่น่ารักมีเสน่ห์คนนึง ตัวสูงใหญ่ ตาสีฟ้า ผมทอง ซึ่งปกติยุ้ยติดต่อกับชาวต่างชาติอยู่แล้ว แฟนยุ้ยเป็นชาวต่างชาติ ก็คบกันคุยกันด้วยอีเมล สมัยนั้นยังเป็นอีเมลอยู่ สรุปว่าอีกปีนึงเขากลับมา เราก็ไปเจอกันที่กรุงเทพ ได้นั่งคุยกัน ทานข้าวกันหนึ่งครั้ง รู้สึกว่าเขามีมุมมองอะไรที่คล้าย ๆ กับเรา ความที่เราเป็นตัวของเรา เขาเป็นตัวของเขามันเหมือนจูนกันติด เขาขอแต่งงาน วันนั้นไม่ได้คิดอะไรเลย ถ้าเป็นสาว ๆ คนอื่นอาจจะ ฉันขอคิดดูก่อน แต่เปล่าเลย วินาทีที่เขา Can you marry me? เรา Yes รถไฟขบวนสุดท้ายมาละ (หัวเราะ) ก็ใช้ชีวิต แล้วก็แต่งงาน ไม่ได้มีพิธีรีตองอะไร ผู้ใหญ่รับรู้ แล้วตัวยุ้ยเอง ยุ้ยคิดว่าเราต้องมาใช้ชีวิตร่วมกันนะ การที่จะมาเรียนรู้กันมันไม่เหมือนสมัยก่อน แต่งแล้วก็เรียนรู้กันไป ยุ้ยย้ายไปอยู่ที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี มีความสุข 3 ปีให้หลังเรามีลูก น้องนะโมน่ารักมาก แฟนยุ้ยช่วยดูแลทุกอย่าง ดูแลกิจการของเราซึ่งไปได้ดีมาก เก็บเงินได้ก้อนนึงก็ย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยเพราะเราคิดว่า ลูกเราจะต้องโตในระบบของความเป็นคนไทย

ความแตกต่างเริ่มสร้างปัญหา
กลับมาเมืองไทยได้ประมาณปีกว่า ตอนนั้นวิกฤตโควิดยังไม่มาแต่เขาก็เริ่มดื่ม เขาเริ่มบ่นเรื่องวัฒนธรรม บอกว่าฉันไม่รู้จะไปพูดกับใคร ฉันคิดถึงภาษา คิดถึงอาหารของฉัน ซึ่งในเมืองไทยมันแพงมาก เราก็คุยกันว่าเรามีเงินก้อนนึง เอาไปลงทุนเพื่อที่จะใช้ชีวิตต่อเนื่อง แล้วแจ็คพอต โควิดเข้ามา ตอนนั้นเราก็ไม่ทราบเลยว่าเขาเอาเงินไปลงทุนทำอะไร โดยที่เราเปิดบัญชีธนาคารเข้าไป เฮ้ย เงินเราเหลือไม่ถึง 20,000 บาท ซึ่งเงินที่เอาไปลงทุนนั้นเยอะมาก ยุ้ยพยายามตามหาบริษัทนี้ ในช่วงโควิดมันก็ปิดกั้นหมด บริษัทมันยังไม่ปิดตัว มันเป็นบริษัทของชาวจีน เพื่อที่จะนำของเข้ามาขาย สรุปว่าเราได้เงินคืนไม่ถึง 20% จากเงินที่เราลงทุนไป แต่ก็ยังได้คืนมาบ้าง ตอนที่เขาได้เงินชุดนั้นมาเขาก็ไปเที่ยวไปดื่ม ไม่ได้ไปบาร์เพราะบาร์มันปิด เขาก็เริ่มดื่มในบ้านก่อนคือดื่มเยอะมาก แล้วอีกอย่างเพื่อนบ้านคนไทยเห็นฝรั่งน่ารักก็ให้ลองเหล้าขาว ซึ่งเขาก็ไม่เคยดื่มมาก่อนเลย

โควิดมา ความกดดันเกิด
วิกฤตได้เกิดละ เขากดดันว่าต่างชาติทำงานไม่ได้เลย เขาเข้ามาบ้านวันนั้นเลย เริ่มแรกคือเขาด่าเรา เขาว่าเราเสีย ๆ หาย ๆ ครั้งแรกผ่านไปไม่เป็นไร ครั้งที่สองด่าไม่พอเริ่มลงมือ เริ่มมีผลัก คราวนี้ไม่ผลักอย่างเดียวแล้วมันมีการตบเกิดขึ้น ซึ่งตัวยุ้ยเองก็ตกใจเพราะสามีไม่เคยมีอาการแบบนี้ เขาจะรักเรามาก เขาจะรักลูกมาก จำได้เลยว่าไม่ไหวแล้ว ต้องเอาลูกหนี ยุ้ยไปแจ้งความไว้ มีการไปโรงพยาบาล ดูใบนิติทุกอย่าง เราก็ได้แต่รอ

เจอกับมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล
ก่อนหน้านั้นยุ้ยติดต่อไปหลายที่มาก เราก็เสียใจนะ ถอดใจแล้ว สงสัยฉันต้องทนมั้ง เพราะไม่มีใครสนใจเราเลย จนเจอมูลนิธินี้ จำได้ว่าไปอ่านบทความอะไรสักอย่างนี่แหละ ก็เอาวะลองเสี่ยงดู โทรมาเจอพี่ผู้หญิงคนนึง คำแรกที่เขาถามเราคือ "บาดเจ็บที่ไหนไหมคะ" ซึ่งเป็นคำแรกที่ฉันต้องการจากใครซักคนนึงที่ตอนนี้พ่อแม่เราก็ไม่มี ญาติพี่น้องเราก็ไม่มี บาดเจ็บที่ไหนไหมคะ ทานข้าวหรือยัง ลูกอยู่ที่ไหน ออกมาแล้วหรือยัง เดินออกมาจากตรงนั้นก่อนนะคะ เขาไม่ถามเลยนะว่าเราต้องการอะไร ชื่ออะไรยังไม่ทันถามเลย ยุ้ยคุยไปประมาณ 10 นาที พึ่งมาขอโทษนะคะชื่ออะไรคะ โห เราแบบอยากรู้จักกับที่นี่มาก ตั้งแต่วันนั้นยุ้ยก็ปรึกษามาโดยตลอด มูลนิธิช่วยขับเคลื่อนอะไรหลาย ๆ อย่าง เพื่อที่จะเข้าไปในกระบวนการ ลงมาเยี่ยมถึงที่ พาไปแจ้งความ

คิดว่าน่าจะปลอดภัย แต่ไม่เลย
ตอนนั้นยุ้ยก็ยังหวัง เพราะยังมั่นใจว่าครั้งแรกคงไม่เป็นไรมั้ง เราก็เกรงใจมูลนิธิ ก็ไม่ได้ติดต่อมูลนิธิประมาณ 3 อาทิตย์ เพราะคิดว่ามันอยู่ในระบบของตำรวจแล้ว เราปลอดภัย แต่เปล่าเลย พูดง่าย ๆ ว่าคืนนั้นหนักมากเราต้องพาลูกวิ่งหนีช่วงเที่ยงคืน ช่วงเที่ยงคืนเขาดื่มมา เขาจำอะไรไม่ได้ เรากองอยู่กับพื้น ยุ้ยจำได้แค่ว่ากองอยู่กับพื้น เรารู้ว่าลูกเนี่ยเดินเข้าไปบอกให้พ่อหยุด ป้องกันเรา แล้วพ่อตีหลังลูกจนหมอบ ยุ้ยร้องตะโกนจนชาวบ้านต้องวิ่งเข้ามาเพื่อที่จะห้าม หนักจริง ๆ ครั้งนั้นแหละค่ะที่เป็นคดีความจนได้ขึ้นศาล

ไกล่เกลี่ย
ศาลให้ไกล่เกลี่ยในศาล เพราะเขายอมรับความผิด ศาลบอกยอมรับไปเถอะ ไกล่เกลี่ยไปเถอะ ผัวเมีย ผัวเมียอีกแล้ว เราก็บอกมันไม่ใช่ครั้งแรก หนูอยากจะยุติ อยากจะยุติ ยุติยังไงล่ะครับ จะหย่าหย่าได้นะครับ แต่เขาไม่ได้ดูในเคสเลยว่าเขาเป็นต่างชาติ อธิบายให้เขาฟังว่าฉันแต่งงานเมืองนอก ถ้าจะหย่าต้องไปหย่าที่เมืองนอกเท่านั้น ต่อหน้าศาลของทางนู้น แล้วจะทำยังไงล่ะ ขอความคุ้มครอง เอางี้ไม่ไหวแล้ว วันนั้นไกล่เกลี่ยจบไป มีการคุมประพฤติ

ยังไม่ถึงวันความรุนแรงก็เกิดขึ้นอีก
ใช่ คุมประพฤติได้แค่ 12 ชั่วโมงได้มั้ง พ่อก็ล่อเราร่วงเลย (หมายถึงสามี) เขาตีแล้วก็กลับไปดื่มกับเพื่อน ฉลองที่เขาไม่ต้องติดคุก เธอทำอะไรฉันไม่ได้หรอก เขากลับมาบ้านทุกอย่างคือเหมือนเดิม แล้ววันรุ่งขึ้นเราก็ไปหาหมอก่อน ไปลงบันทึกประจำวัน ไปลงบันทึกประจำวันได้แค่นั้นเพราะว่ามันยังอยู่ในคดีความ พอลงบันทึกประจำวันได้ โทรไปติดต่อกับอัยการ อัยการบอกไม่เป็นไรครับขอเวลา 2 อาทิตย์ เราอดทน 2 อาทิตย์ แต่เราเข้าใจอัยการ ด้วยความที่ท่านอยากได้ความแน่นหนา ไปที่ศาล ศาลบอกอะไรกันพึ่งจะตัดสินไปเมื่อวานนี้ ทนอีกหน่อยนะคะ พยายามเอาชีวิตให้รอด

สู้ต่อ
เราก็เลยโทรติดต่อไปที่มูลนิธิอีกรอบนึง ทางเจ้าหน้าที่ก็บอกว่ามาขับเคลื่อนกันต่อ จนอัยการส่งฟ้อง ในระยะที่เขาคุมประพฤติ ศาลรับฟ้อง แต่ในระยะเวลา 1 เดือนนั้นเราก็ต้องวิ่งหนีตลอดเวลา เขาก็ยังกระทำอยู่ มีเอกสารมาติดหน้าบ้าน มีหมายศาล แต่ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย เขากระโดดข้ามรั้วพร้อมกับใบนั้นแล้วก็มาตีเราในบ้าน จนแขนหัก ทุกอย่างที่เขาสามารถที่จะทำ ทั้งด่าทั้งตี พอทีนี้มันรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขนาดกับลูกพาเราวิ่งเพราะเขาได้ยินคำว่า พ่อกำลังไปเอามีดดาบมาฟันคอแม่ เราต้องวิ่งตอนกลางดึกอีกแล้ว โดยที่เราไม่ได้ทำอะไร ทำอะไรไม่ได้เลย จนกระทั่งมีคำสั่งของศาล ห้ามเข้าใกล้ ห้ามข่มขู่คุกคาม วันนี้เขาเดินทางกลับไปประเทศของเขาแล้ว อยากจะขอบคุณมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เจ้าหน้าที่ทุกคน เพื่อนฝูง และทุกท่านที่เกี่ยวข้อง ตอนนี้เราต้องแข็งแรงและไม่ยอมให้ความรุนแรงนี้เกิดขึ้นได้อีก

อย่าอายที่จะพูดถึงความรุนแรง
อย่าอายที่จะพูดถึงความรุนแรง มันมีครั้งแรกอย่าให้มีครั้งที่สอง มันจะต้องจบอยู่ที่ครั้งที่หนึ่ง เพราะเราอาจจะไม่รอดมาพูดแบบยุ้ยก็ได้

มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ขอขอบคุณคุณยุ้ย ที่ออกมาแบ่งปันเรื่องราวให้ทุกคนได้ฟัง ทำให้ผู้หญิงที่กำลังเผชิญสถานการณ์เดียวกันกล้าที่จะส่งเสียง และต่อสู้เพื่อความถูกต้องและสิทธิของตัวเอง ปัจจุบันคุณยุ้ยเป็นอาสาสมัครของมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล และเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนและบัตร อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมกับเป็นล่ามภาษาอังกฤษและเยอรมัน


บทความที่เกี่ยวข้อง
8 มีนาคม 2568 วันสตรีสากล ประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีและความเท่าเทียมทางเพศ
8 มีนาคม ของทุกปี เป็นวันสตรีสากล จากประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีและความเท่าเทียมทางเพศ
10 มี.ค. 2025
Bad Valentine เมื่อความรักกลายเป็นพิษ กับคุณนุช มณีนุช อินทสันต์
นอกจากทัศนคติแบบชายเป็นใหญ่ การใช้อำนาจเหนือแล้ว หลายกรณีของความรุนแรงในครอบครัวก็มาปัจจัยกระตุ้น ไม่ว่าจะเป็น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การพนัน ยาเสพติด เรื่องราวของความรักที่กลายเป็นพิษของ คุณคุณนุช มณีนุช อินทสันต์ อาสาสมัครมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล
7 มี.ค. 2025
Bad Valentine เมื่อความรักกลายเป็นพิษ กับคุณฝน นันทิยา พุ่มสุวรรณ
จากความรักที่เคยคิดว่าดี แต่กลับสร้างบาดแผลทั้งร่างกายและจิตใจให้กับเธอ เรื่องราวของความรักที่กลายเป็นพิษของ คุณฝน นันทิยา พุ่มสุวรรณ อาสาสมัครมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล
6 มี.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy