สามีข่มขืนภรรยา ผิดกฎหมาย
(เผยแพร่บทความเมื่อ 14 เมษายน 2563)
บางคนอาจตั้งคำถามว่าจะมีได้อย่างไร สามีที่ข่มขืนภรรยา อยู่กินด้วยกัน มีเพศสัมพันธ์กันคงไม่เรียกว่าการข่มขืน จากการให้คำปรึกษาและช่วยเหลือของมูลนิธิหญิงชายก้าวไกลต้องบอกเลยว่าไม่ใช่ทุกคู่ที่จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ผู้หญิงหลายคนถูกสามีใช้ความรุนแรง บังคับมีเพศสัมพันธ์ด้วยความไม่ยินยอม บางคู่ ฝ่ายสามีมีพฤติกรรมเพศสัมพันธ์ที่ภรรยารับไม่ได้ ต้องอดทนและจำยอม แม้จะอยากออกจากสภาพปัญหาแต่อยู่ในสถานะที่ไม่กล้าขอความช่วยเหลือ ไม่รู้ว่าจะหาทางออกอย่างไร หรือยอมจำนนด้วยเหตุผลต่าง ๆ
แต่เดิมกฎหมายการข่มขืน ไม่ได้ถูกระบุไว้ในส่วนของสามีภรรยา แต่จากสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นที่มีความแตกต่างไปจากอดีต เกิดการเรียกร้องให้มีการปรับปรุงกฎหมายเพื่อช่วยเหลือผู้ถูกกระทำความรุนแรงทางเพศที่เป็นคู่สามีภรรยา จึงทำให้มีการปรับปรุงกฎหมายที่ครอบคลุมถึงสามีภรรยา โดยมีการประกาศใช้ในเดือนกันยายน 2550 โดยมีการระบุไว้ว่า
มาตรา 276 “ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี และปรับตั้งแต่ 8,000 – 40,000 บาท และในวรรคที่สี่ของมาตราเดียวกันระบุว่า “ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำความผิดระหว่างคู่สมรส และคู่สมรสนั้นยังประสงค์จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เพียงใดก็ได้ หรือจะกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติแทนการลงโทษก็ได้ ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก และคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ประสงค์จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาต่อไป และประสงค์จะหย่า ให้คู่สมรสฝ่ายนั้นแจ้งให้ศาลทราบ และให้ศาลแจ้งพนักงานอัยการให้ดำเนินการฟ้องหย่าให้”
ด้วยอำนาจแบบชายเป็นใหญ่ทำให้ผู้ชายบางคนคิดว่าภรรยาคือสมบัติของตน เมื่ออยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาแล้ว จะทำอย่างไรกับภรรยาก็ได้ เลยคิดไปว่าการบังคับมีเพศสัมพันธ์ เป็นเรื่องที่ทำได้ แม้ฝ่ายหญิงจะไม่ยินยอม ซึ่งไม่ใช่ทั้งในแง่มนุษยชน และแง่ของกฎหมายอีกต่อไป
ที่น่าเป็นห่วงคือในช่วงที่รัฐบาลรณรงค์ให้ทุกคนอยู่บ้าน เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ยิ่งทำให้ผู้หญิงที่เผชิญกับความรุนแรงไม่มีทางเลือก เมื่อฝ่ายชายอยู่บ้านมากขึ้น นั่นหมายความว่าโอกาสเกิดความรุนแรง การล่วงละเมิดทางเพศก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย แต่ด้วยกฎหมายข้อนี้ ภรรยาที่ถูกกระทำความรุนแรงสามารถเรียกร้องสิทธิของตัวเองได้ การจะออกจากปัญหานี้ได้ก็ควรใช้ตัวช่วยด้านกฎหมาย อย่ายอมถูกกระทำความรุนแรงแม้ว่าจะเป็นสามีภรรยากันก็ตาม
ดังนั้นกฎหมายนี้จึงเป็นตัวช่วยเพื่อหยุดปัญหาความรุนแรงทางเพศซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกายและจิตใจของทั้งผู้หญิงเองและสมาชิกในครอบครัว การไม่แจ้งความไม่ได้หมายความว่าครอบครัวนั้นมีความสุข ไม่มีปัญหาความรุนแรง สังคมควรทำความเข้าใจใหม่ และผู้หญิงเองก็ควรใช้ตัวช่วยด้านกฎหมายนี้เพื่อแก้ไขปัญหา อย่าปล่อยให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อ แม้ว่าผู้กระทำจะเป็นสามีของตัวเองก็ตาม
หากต้องการความช่วยเหลือสามารถขอรับคำปรึกษาได้ที่มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล หมายเลข 0-2513-2889 ในวันจันทร์–ศุกร์ เวลา 09.00 – 15.00 น. (เว้นวันหยุดราชการ)