(เผยแพร่บทความเมื่อ 4 พฤษภาคม 2566)
จากประเด็นที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักในโลกออนไลน์ถึงเนื้อหาภายในแบบเรียน ‘ภาษาพาที’ หนังสือเรียนภาษาไทยตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีการปลูกฝังทัศนคติ ชุดความคิดจากค่านิยมในอดีตที่ส่งผลกระทบต่อความคิดอันบิดเบี้ยวของเด็ก ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงและบริบทของสังคมที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ซึ่งล่าสุดเราก็พบประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการไม่ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ และผลิตซ้ำอำนาจชายเป็นใหญ่ในแบบเรียนนี้ด้วย
“เป็นลูกผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว ไม่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวไปกับใคร ๆ ก่อนวันแต่งงาน” ประโยคที่มาจากแบบเรียนภาษาพาที ชั้นประถมศึกษาที่ที่ 5 หน้า 255
การปลูกฝังให้ผู้หญิง ‘รักนวลสงวนตัว’ เป็นการตีกรอบความเป็นหญิงความเป็นชาย หากไม่รักนวลสงวนตัว จะถูกตีตราจากสังคมว่าเป็นผู้หญิงไม่ดี ไม่เหมาะกับเกียรติของสามี นี่คือการผลิตซ้ำและส่งต่อกรอบคิดแบบชายเป็นใหญ่ เป็นการกดทับ ลดทอนคุณค่าของผู้หญิงอย่างรุนแรง แม้ว่าหลาย ๆ หน่วยงานรวมถึงมูลนิธิหญิงชายก้าวไกลเอง จะพยายามสร้างความเข้าใจให้กับสังคม แต่แบบเรียนเล่มนี้กลับไม่เข้าใจ และปล่อยให้เนื้อหาลักษณะนี้สร้างความคิด ทัศนคติผิด ๆ ให้กับเด็ก
การปลูกฝังความคิดเหล่านี้นำไปสู่ทัศนคติต่อสังคมที่เป็นการเพิ่มความคาดหวังในตัวผู้หญิง จนถูกมองข้ามคุณค่าที่แท้จริง แต่ไม่ใช่เพียงแบบเรียนภาษาพาทีเท่านั้น ยังมีแบบเรียนอื่น ๆ ที่มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลเคยรวบรวม และเรียกร้องให้มีการปรับปรุงเนื้อหาอีกหลายเล่ม
ปี 2561 มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ร่วมกับเครือข่ายผู้ปกครองและเยาวชน ยื่นหนังสือถึงกระทรวงศึกษาธิการให้มีการปรับหลักสูตรการสอนวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา เนื่องจากมีเนื้อหาลดทอนคุณค่าของผู้หญิงและส่งเสริมทัศนคติชายเป็นใหญ่ เนื้อหาบางส่วนในหลักสูตรการเรียนการสอนยังขาดความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องสิทธิความเท่าเทียมทางระหว่างเพศ การให้เกียรติเคารพในสิทธิเนื้อตัวร่างกายของผู้อื่นซ่อนความคิดแบบชายเป็นใหญ่ มีส่วนในการบ่มเพาะความคิดความเชื่อที่ผิด เช่น ผู้หญิงต้องทำงานบ้าน ดูแลลูก และครอบครัว ผู้ชายมีความแข็งแกร่งเป็นผู้นำมากกว่า ผู้ชายเปรียบเป็นช้างเท้าหน้า ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง ซึ่งทัศนคตินี้มีส่วนทำให้ปัญหาความรุนแรงทางเพศ และความรุนแรงในครอบครัวที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
และในปี 2563 มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ได้จัดเวทีเสวนา “เมื่อแบบเรียนเป็นอุปสรรคต่อความเสมอภาคระหว่างเพศ” ซึ่งเป็นอีกครั้งที่มีการเรียกร้องให้มีการปรับหลักสูตรการเรียนสอนใหม่
การแบ่งแยก “ความเป็นหญิง” และ “ความเป็นชาย” ผ่านความแตกต่างทางด้านอารมณ์และลักษณะนิสัย เช่น เด็กผู้หญิงต้องอ่อนโยน มีความเมตตา เด็กผู้ชายต้องมีความกล้าหาญ แข็งแกร่ง ความแตกต่างด้านบทบาทหน้าที่ เช่น ผู้หญิงต้องเป็นภรรยาที่ดี ทำงานบ้าน ทำอาหารให้คนในครอบครัว ผู้ชายต้องเป็นผู้นำครอบครัวที่ดี ขยันทำงานหารายได้เลี้ยงครอบครัว ความแตกต่างทางด้านพฤติกรรม เช่น ผู้หญิงต้องรู้จักรักนวลสงวนตัว ไม่แต่งกายล่อแหลม ยั่วยุอารมณ์ทางเพศ
ทั้งหมดเป็นการเอาระบบเพศโดยกำเนิดมาตีกรอบพฤติกรรม ทำให้เด็กยึดเอาเพศของตนเป็นศูนย์กลางในการแสดงออกทางพฤติกรรมและอารมณ์
ดร.ชเนตตี ทินนาม อาจารย์ประจำภาควิชาการสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ ให้ความเห็นว่า “แบบเรียนเหล่านี้เป็นหลักสูตรที่ล้าหลัง ไม่ส่งเสริมให้เกิดความเท่าเทียมทางเพศและไม่ให้ความสำคัญกับเพศสภาพ เป็นการปลูกฝังทัศนคติทางอ้อมที่แนบเนียนแต่สามารถส่งผลกระทบได้อย่างรุนแรง เพราะสุดท้ายการปลูกฝังความคิดเช่นนี้จะกลายเป็นความครอบงำที่กำกับเบื้องหลังพฤติกรรมระหว่างเพศ โดยผู้หญิงเป็นฝ่ายที่สยบยอม ส่วนผู้ชายมีความก้าวร้าว ไม่รับฟัง และกดขี่
แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการปรับปรุงหลักสูตร แบบเรียนต่าง ๆ ไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่ทั้งหมด ยังมีทัศนคติของความไม่เท่าเทียม และอำนาจชายเป็นใหญ่ สอดแทรกมาอยู่เรื่อย ๆ เช่นเดียวกับในแบบเรียนภาษาพาทีเล่มนี้ เราหวังว่าผู้ที่เขียนหนังสือ ผู้ที่ออกหลักสูตร จะมีความเข้าใจ และเรียนรู้ประเด็นเชิงสังคมให้มากขึ้น ไม่ใช่เพียงเอาทัศนคติส่วนตัวใส่ลงไป เพราะนี่คือการปลูกฝังทัศคติผิด ๆ ให้กับเด็ก และส่งผลกระทบต่อสังคมในอนาคต